วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

ข้อดีของระบบไฮโดรโปนิกส์

1.สามารถปลูกพืชได้ทั้งปี เป็นการเพิ่มมูลค่าของผลผลิตให้สูงขึ้นกว่าแบบเก่า 50-100% และยังสามารถออกแบบให้ประหยัดพื้นที่การปลูกได้ด้วย2.ดูแลได้ทั่วถึง เนื่องจากเป็นระบบที่ง่ายต่อการควบคุมและป้องกันโรคและแมลง ไม่ใช้สารเคมีกำจัดแมลง 100% และไม่มีปัญหาในการกำจัดวัชพืชในพื้นที่ปลูก ประหยัดน้ำและปุ๋ย เพราะสามารถควบคุมได้ตามที่พืชต้องการ ไม้ต้องไถพรวน3.สามารถลดการทำลายหรือชะล้างหน้าดิน มีผลผลิตสม่ำเสมอ และอายุเก็บเกี่ยวเร็วขึ้น เนื่องจากพืชสามารถนำธาตุอาหารไปใช้ได้อย่างสม่ำเสมอ ผลผลิตที่ได้มีความสะอาด สด คุณภาพดี และที่สำคัญคือ ปลอดสารพิษ สามารถพัฒนาการปลูกไปในเชิงพาณิชย์ได้

ไฮโดรโปนิกส์
กว่า 150 ปีมาแล้ว ที่มนุษย์เรารู้จักการปลูกพืชแบบไม่อาศัยดินโดยในเริ่มแรกนั้น มีจุดประสงค์เพียงเพื่อต้องการศึกษาว่า แร่ธาตุชนิดใดบ้าง ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช จนเมื่อปี ค.ศ.1925 ประเทศในแถบยุโรปและอเมริกา ต่างเริ่มหาทางเลือกใหม่สำหรับการปลูกพืชในโรงเรือน เพราะการเพาะปลูกแบบอาศัยดินนั้น สร้างปัญหาให้มากกมาย นอกจากนี้ในวงการวิจัยเองก็มีการตื่นตัวทำการทดลองเกี่ยวกับการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินเพื่อเป็นการค้าขึ้น มากระทั่งปี ค.ศ.1930 คำว่า "ไฮโดรโปนิกส์" เริ่มเป็นที่รู้จักขึ้นโดย ดร.เจอร์ริค แห่งมหาวิทยาลัยมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ได้ทำการทดลองปลูกพืชโดยใช้เทคนิควิธีการปลูกพืชในน้ำสารละลายอาหารเป็นผลสำเร็จ และนับจากนั้น การปลูกพืชแบบไม่ใช้ดินก็ได้รับการพัฒนาเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน ไฮโดรโปนิกส์ เป็นการปลูกพืชแบบไม่ใช้วัสดุปลูก (nonsubstrate หรือ water cuture) ซึ่งเป็นลักษณะของการปลูกพืชลงบนสารละลายธาตุอาหารพืช โดยให้รากสัมผัสกับสารอาหารโดยตรงนั่นเองโดยสามารถแบ่งวิธีการปลูกได้เป็น 3 แบบ ได้แก่
ที่โรงเรียนบ้านห้วยทราย จ.เชียงใหม่ เมื่อเวลา 10.09 น. วันที่ 15 ก.ย. นายดวงฤทธิ์ เกติมา ผอ.โรงเรียนบ้านห้วยทราย นายอาทิตย์ เรืองกุล รอง ผอ.สำนักงานพื้นที่การศึกษาเชียงใหม่ เขต 1 และ คณะอาจารย์ พร้อมเพื่อน นักเรียน โรงเรียนบ้านห้วยทราย ได้พากันยืนเรียงแถวเพื่อส่งและให้กำลังใจ ด.ช.หม่อง ทองดี อายุ 12 ปี เด็กสัญชาติพม่าที่ชนะการประกวดพับเครื่องบินกระดาษของประเทศ มีกำหนดออกเดินทางโดยรถตู้ไปกรุงเทพฯ เพื่อเข้าพักที่หอพักคุรุสภา ก่อนจะออกเดินทางไปร่วมแข่งขันพับ เครื่องบินกระดาษ ที่เมืองชิบะ ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 19-20 ก.ย.นี้ สำหรับการเดินทางออกจาก จ.เชียงใหม่ ผอ.โรงเรียนได้พาน้องหม่องจุดธูปไหว้เจ้าที่ศาลพระภูมิ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในโรงเรียน ระหว่างที่เดินขึ้นรถ น้องหม่องได้ถือพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขึ้นเหนือศีรษะ และเดินผ่านกลุ่มเพื่อนนักเรียนที่ตั้งแถวปรบมือและอวยพรขอให้ประสบความสำเร็จด.ช.หม่อง กล่าวว่า รู้สึกดีใจและภูมิใจที่ทุกคนให้การสนับสนุนและดีใจมากที่ได้เป็นตัวแทนของประเทศไทยไปแข่งขัน อย่างไรก็ตาม การไปครั้งนี้ได้นำเอาภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ติดตัวไปแข่งขันด้วย ซึ่งจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดและคว้าชัยชนะกลับมาประเทศไทยให้ได้อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 16 ก.ย. เวลา 21.30 น. น้องหม่องจะเดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ จากนั้นในเวลา 23.55 น. ออกเดินทางโดยสายการบิน เจแปน แอร์ไลน์ เที่ยวบิน JL 728 และจะถึงสนามบินนานาชาติ Kansai เมืองโอซากา ในเวลา 07.30 น. ของวันที่ 17 ก.ย. ก่อนจะออกเดินทางด้วยรถไฟไป Fokuyama เมืองฮิโรชิมา เข้าศึกษาตามสถานที่ต่าง ๆ รวมทั้งพิพิธภัณฑ์เครื่องบินกระดาษ และในเวลา 06.45 น. ของวันที่ 18 ก.ย. ก็จะเดินทางออกจากที่พักไปยังสนามบิน เพื่อออกเดินทางโดยเครื่องบิน มุ่งหน้าสู่กรุงโตเกียว เวลา 10.25 น. เดินทางถึงสนามบินโตเกียว เข้าพักที่โรงแรม Hotel Francs ในวันที่ 19 ก.ย. เวลา 09.00 น. จะออกจากโรงแรมไปยังสนามแข่งขัน ซึ่งช่วง เช้าจะฝึกซ้อมและชมการแข่งขันฯประเภททีม นักเรียนประถม จากนั้นในช่วงบ่ายจะเข้าร่วมการ แข่งขันฯประเภททีมผสม ในวันที่ 20 ก.ย. เวลา 09.00 น. ก็จะออกจากโรงแรมไปยังสนามแข่งขัน และช่วงเช้าก็จะฝึกซ้อม ประเภทบุคคลรอบคัด เลือก จากนั้นช่วงบ่าย ก็จะเข้าร่วมการแข่งขันฯ ประเภทบุคคล รอบชิงชนะเลิศ และเดินทางกลับ ถึง






นายกฯชวนคนไทยร่วมกิจกรรม 9 ในดวงใจ 9 ก.ย.นี้6/9/2552นายกรัฐมนตรี เชิญชวนคนไทยร่วมกิจกรรม 9 ในดวงใจ เทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 9 เดือน 9 ปี 09 เวลา 9.09 นาทีในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์วันนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี สวมเสื้อยืดคอปก ปักหน้าอก 9 ในดวงใจ เพื่อรณรงค์ในโครงการนี้ โดยขอให้ประชาชนและทุกหน่วยงานร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีในวันพุธที่ 9 กันยายนนี้ เวลา 9 นาฬิกา 9 นาที ซึ่งถือเป็นเลขมงคล 9/09/09/ 9.09 น.ที่มาhttp://www.krobkruakao.com/kkn/?a=news&s=detail&news_id=8177